วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำไมจึงเชื่อว่ากระเทียมขับไล่ผีดูดเลือดได้ ?

เรื่องผีฝรั่ง โดยเฉพาะแวร์ไพร์ ที่ว่ากันว่ากลัวกระเทียมนั้น เห็นจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่ฝรั่งไม่ชอบกินกระเทียมมั้งความเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อกาฬโรคแพร่ระบาด คร่าชีวิตผู้คนไปทั่วทั้งทวีปยุโรปในช่วงยุคมืด (the Dark Ages) คนยุโรปไม่สามารถหาคำอธิบายสาเหตุของโรคอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันกล่าวโทษอำนาจชั่วร้ายในรูปของผีดูดเลือด หรือแวมไพร์ (vampires) ว่าเป็นตัวการ

กาฬโรคจู่โจมเหยื่อของมันโดยไม่เลือกว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ดูเหมือนว่ามีแต่พ่อค้ากระเทียมเท่านั้นที่รอดพ้นจากเงื้อมมือมรณะของมันได้ ในหมู่พ่อค้าที่ขนกระเทียมไปเร่ขายตามเมืองต่าง ๆ แทบไม่มีคนใดติดโรคร้ายนี้เลย ผู้คนทั่วไปจึงสรุปว่ากระเทียมต้องมีสรรพคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ เลยพากันรับประทานกระเทียมเป็นการใหญ่ อีกทั้งยังแขวนพวงกระเทียมไว้รอบคอด้วย บรรดาชาวอาณานิคมในนิวอิงแลนด์ (อเมริกา) ยิ่งล้ำหน้ากว่าชาวยุโรป พวกเขาสวมพวงกระเทียมไว้รอบเท้าเพื่อป้องกันภัยกล้ำกรายจากโรคฝีดาษด้วย

ผู้คนในสมัยนั้นยังไม่ทราบเลยว่ากาฬโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)มาค้นพบในปี ค.ศ. ๑๘๕๘ ว่ากระเทียม (Allium sativum) มีน้ำมันซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียและป้องกันการติดเชื้อ เรียกว่า แอลลิซิน (allicin) เป็นไปได้ว่าการที่พวกพ่อค้ากระเทียมต้องสัมผัสใกล้ชิดกับสมุนไพรวิเศษนี้อยู่เสมอ มีผลให้เชื้อแบคทีเรียในร่างกายของพวกเขาถูกกำจัดออกไป และก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่ากลิ่นฉุนของกระเทียมกันชาวบ้านให้อยู่ห่าง ๆ จึงช่วยป้องกันโรคระบาดไม่ให้แพร่กระจายมาถึงตัวพ่อค้ากระเทียมได้ อย่างไรก็ตามความเชื่อว่ากระเทียมสามารถขับไล่ผีดูดเลือดได้นั้นยังเป็นข้อกังขาอยู่

ทุกวันนี้เรามีความรู้ด้านสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น แต่กระเทียมยังคงเป็นที่นิยมบริโภคเหมือนที่เป็นมาในอดีตกระนั้นก็ตามความนิยมสมุนไพรชนิดนี้ในสหรัฐอเมริกาเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ไม่มีการปลูกกระเทียมเลยในประเทศนั้นจนเมื่อรัฐบาลต้องการกระเทียมแห้งจำนวนมหาศาลเพื่อส่งให้แก่ทหารในแนวรบเกษตรกรชาวอเมริกันจึงเริ่มปลูกกระเทียมกันอย่างจริงจังในปัจจุบันรัฐแคลิฟอร์เนียมีผลผลิตกระเทียมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ขัอมูลจาก : http://kungsss.exteen.com/20070501/entry

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ดีไซเนอร์สเปนเจ๋ง! ผลิตสเปรย์สร้างเสื้อผ้ารัดรูป




เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า ดอกเตอร์มาเนล ทอร์เรส ดีไซเนอร์ชาวสเปน ทำเอาวงการเสื้อผ้าโลกสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อเขาได้คิดค้นและผลิตสเปรย์สร้างเสื้อผ้ารัดรูปเป็นผลสำเร็จ หลังจากใช้เวลาพัฒนาสเปรย์ชนิดนี้มานานกว่า 10 ปี

โดยสเปรย์สร้างเสื้อผ้าของเขา มีลักษณะเป็นของเหลวผสมที่ผสมระหว่างคอตตอนไฟเบอร์ พอลิเมอร์ส และตัวทำละลาย ที่พร้อมจะฉีดลงบนผิวหนังได้ด้วยตัวเอง และมันพร้อมที่จะกลายเป็นเสื้อ กางเกงชั้นใน เลกกิ้ง หรือหมวกได้ใจตามต้องการ ซึ่งทันทีที่เจ้าสเปรย์นี้ถูกฉีดพ่นลงบนผิวหนังแล้ว มันก็จะแห้งอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น และหลังจากที่พ่นลงบนผิวหนังให้มันกลายเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์และพ่นสีพ่นลายตามใจชอบแล้ว ผู้ใส่ก็สามารถถอดออกได้ และยิ่งไปกว่านั้นสามารถนำไปทำความสะอาดแล้วนำกลับมาใส่ซ้ำได้ด้วย เพราะเสื้อผ้าที่มาจากสเปรย์สร้างเสื้อผ้านี้ จะมีความยืดหยุ่นและทนทานไม่ต่างจากเสื้อผ้าปกติ

ดอกเตอร์ทอร์เรส ได้กล่าวว่า เจ้าสเปรย์ฉีดเสื้อผ้าหรือ แฟบริคแคนนี้ นอกจากจะสามารถสร้างเสื้อผ้าได้ทันทีแล้ว มันยังมีราคาถูกอีกด้วย แต่เสียตรงที่ว่ามันอาจจะเป็นเสื้อที่รัดรูปไปหน่อย คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอาจจะกังวล … อ๊ะ ๆ แต่งานนี้อย่าเพิ่งคิดว่าจะหมดสิทธิ์ใส่นะคะ เพราะหากคุณฉีดพ่นลงบนตัว แล้วถอดออกมาสวมใส่ มันก็ไม่ใช่เสื้อที่รัดรูปที่แน่นจนเกินไป แค่นี้ก็สวมใส่ได้สบาย ๆ ค่ะ



ข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/52131

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

คู่มือประหยัดพลังงานและ วิธีลดโลกร้อน ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน



ปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน ๆ ส่งผลให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านได้นาน ๆ เหมือนแต่ก่อน ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างเช่น แอร์ พัดลม ช่วยเพิ่มความเย็น และยิ่งโลกร้อนขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า ผู้คนบนโลกยิ่งใช้พลังงานทำลายชั้นบรรยากาศของโลกมากขึ้นเท่านั้น . . . วันนี้ก็เลยมีวิธีดี ๆ ในการประหยัดพลังงานทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันมาฝากกัน ที่จะช่วยให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดโลกร้อน ด้วยการเริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่ในบ้านไป จนถึงที่ทำงานเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่า คุณสามารถช่วยลดโลกร้อนในแต่ละวันอย่างไรได้บ้าง

พลังงานความร้อนและไฟฟ้า

1. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดานบ้าน เพื่อลดความร้อนและทำให้บ้านเย็น

2. ตั้งตู้เย็นไว้ในที่ที่ใกล้กับประตูหน้าต่าง เพื่อความร้อนที่ระบายออกมาจะได้ไม่สะท้อนกลับไปในห้องครัว และยังช่วยประหยัดไฟอีกด้วย

3. ในฤดูหนาวควรเปิดหน้าต่างให้ความเย็นเข้ามาในห้องตอนกลางคืน และปิดหน้าต่างตอนเช้า เพื่อให้ความเย็นภายในห้อง ไม่ถูกแทนที่ด้วยความร้อนจากแสงแดดตอนกลางวัน

4. คุณสามารถลดความร้อนในบ้านได้ถึง 50% หากติดกระจกแบบสองชั้น เพราะจะสามารถกันความร้อนได้ และช่วยคุณประหยัดไฟฟ้าได้อีก

5. เปิดแอร์ที่ 25 องศาเสมอ เพราะเป็นอุณหภูมิที่สบายที่สุด ที่คุณไม่ต้องนอนห่มผ้าตากแอร์เลย

6. ติดตั้งระบบไฟฟ้าหมุนเวียนภายในบ้าน

7. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเกรด A ที่ไม่กินไฟ

8. เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดไฟ

9. อย่าใช้เครื่องปั่นผ้าในวันที่ฟ้าใส และแดดจัด เพราะอุณหภูมิของโลก สูงพอจะทำให้ผ้าแห้งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงอยู่แล้ว

10. เสื้อผ้าน้อยชิ้นควรซักเองด้วยมือ ส่วนเครื่องซักผ้าควรใช้ในวันที่มีเสื้อผ้าเต็มตะกร้า

11. หากคุณต้องเปิดไฟในสวนหน้าบ้านทุกคืน ควรใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ชาร์จพลังงานตอนกลางวัน และเปิดไฟตอนกลางคืน

12. ถอดสายชาร์จโทรศัพท์มือถือออกจากเบ้าเสียบทุกครั้งที่ชาร์จเสร็จ เพราะมันกินไฟโดยเปล่าประโยชน์

พลังงานน้ำ

13. ตรวจสอบรอยรั่วของท่อประปา หรือรอยรั่วก๊อกน้ำแล้วอุดรอยรั่วนั้นให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้มันหยดทิ้งแม้น้อยนิดก็ตามที

14. หากคุณจะต้มน้ำ ควรใช้หม้อต้มน้ำที่พอดีกับปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ เพราะขนาดภาชนะที่ใหญ่เกินไป มักจะทำให้เราใช้น้ำเกินความต้องการเสมอ

15. เวลาที่ชงชา ต้มน้ำในปริมาณที่คุณจะใช้เท่านั้น แม้มันจะดูน้อยนิดเกินไป แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้น้ำร้อนที่เหลือจากการชงชาค่อย ๆ เย็นโดยไม่ได้ใช้อะไรเลย

16. ปิดก๊อกน้ำทุกครั้งขณะที่คุณกำลังแปรงฟัน

17. ใช้ถังชักโครกที่ประหยัดน้ำ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำไปกับการชำระล้างโถส้วม เกินความจำเป็น

18. ใช้ฝักบัวอาบน้ำแทนการนอนแช่น้ำในอ่าง เพราะมันเปลืองน้ำกว่ามาก ๆ

อาหารและตู้เย็น

19. ตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังด้านละประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ระบายความร้อนได้สะดวก

20. ละลายน้ำแข็งในตู้เย็นเป็นประจำ

21. อย่าเปิดตู้เย็นทิ้งไว้เป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ความเย็นระบายออกมาหมดและทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก กินไฟมาก

22. ไม่ควรนำอาหารอุ่น ๆ หรือร้อนแช่ตู้เย็นเป็นอันขาด ควรวางไว้ให้เย็นก่อนแล้วค่อยนำเข้าตู้เย็นอีกครั้ง

23. ซื้ออาหารที่มีในท้องถิ่น เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องซื้อในปริมาณเยอะ ๆ แล้วนำมาตุนไว้ในช่องแช่แข็งจนไม่มีที่ว่าง

พลังงานขณะขับรถ

24. วางแผนการเดินทางทุกครั้งก่อนออกรถ เพื่อจะได้ไม่ต้องขับวนไปวนมาคิดซ้ายคิดขวาว่าจะไปทางไหนดี

25. ขับรถด้วยความเร็วที่คงที่เสมอ ที่สำคัญไม่ควรขับเร็วเกินความจำเป็นด้วย

26. ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้สักครู่ ก่อนออกรถ

27. ในกรณีที่รถติดไฟแดงในแยกที่รถติดนานกว่า 2 นาทีขึ้นไป ควรดับเครื่องยนต์ก่อนแล้วค่อยสตาร์ทใหม่

28. ไม่ควรเปิดแอร์ในรถเย็นเกินไป ใช้อุณหภูมิที่พอเหมาะเท่านั้น

29. หากต้องเดินทางไปสถานที่ใกล้ ๆ ที่ห่างจากบ้านไม่เกิน 5 กิโลเมตร ควรใช้วิธีเดินหรือปั่นจักรยานดีกว่า

30. อุปกรณ์แต่งรถหลาย ๆ อย่าง สามารถกินพลังงานเกินความจำเป็นได้ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องบอกทาง เป็นต้น

31. นำรถเข้าอู่เป็นประจำ เพื่อเช็คสภาพและการทำงานต่าง ๆ ของรถ

พลังงานขณะทำงาน

32. แม้ว่าคุณจะไม่ได้จ่ายค่าไฟที่ทำงานเอง แต่ก็ควรใช้ไฟเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้หรือในห้องที่ไม่มีใครอยู่ เพื่อช่วยโลกประหยัดไฟ

33. ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อคุณต้องลุกออกไปที่ไหนนาน ๆ เช่น ทานข้าว ไปประชุม หรือแม้แต่ออกไปยืดเส้นยืดสาย

34. ใช้กระดาษทั้งสองหน้า อย่าใช้เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

35. หากสามารถเปิดหน้าต่างได้ ควรหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์ในวันที่อากาศสบาย ๆ

36. ควรใช้ลิฟต์ในออฟฟิศพร้อม ๆ กับคนอื่น ขณะเดียวกัน คุณสามารถเดินขึ้นบันไดได้หากห้องทำงานของคุณไม่ได้อยู่สูงถึงชั้น 7

37. สำหรับข้อมูลบางอย่างที่สามารถอ่านผ่านคอมพิวเตอร์ได้ บางครั้งคุณก็ไม่จำเป็นต้องปรินท์เอาท์ออกมา

และนี่ก็คือวิธีง่าย ๆ ในการช่วยลดโลกร้อนที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานและภาวะโลกร้อน เริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่วันนี้นะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยยืดเวลาให้โลกไม่ร้อนไปกว่านี้ได้ไม่น้อยเลยล่ะ


ข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/52060

ใช้ร้านอินเตอร์เน็ตให้ปลอดภัย



มีใครที่ใช้งานอีเมล ต้องส่งงานทางอินเทอร์เน็ตแล้วไม่เคยเข้าร้านเน็ตบ้าง แม้คุณจะนำโน้ตบุ๊กส่วนตัว พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ต่ออินเทอร์เน็ต แต่ความเร็วที่ได้ก็ไม่เพียงพอต่อการส่งไฟล์งานขนาดใหญ่ และนี่คือความจำเป็นของการเข้าร้านอินเทอร์เน็ตสำหรับคนทำงานทุกคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าร้านอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีเจ้าของร้านไร้จริยธรรมคุณจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อาจจะมีโปรแกรมสปายแวร์ตรวจจับการทำงานอยู่ เครื่องคอมพ์ซึ่งอุดมไปด้วยไวรัสและมัลแวร์หลากหลายสายพันธุ์ เด็กเล่นเกมออนไลน์ส่งเสียงเย้วๆ ไม่เกรงใจคนข้างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คุณไม่ปลอดภัยจากการใช้อินเทอร์เน็ตในร้านทั้งสิ้น วันนี้ผมมีคำแนะนำจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟัง ว่าคุณจะใช้ร้านอินเทอร์เน็ตอย่างไรให้ปลอดภัย

ใช้แฟลชไดรฟ์ให้เป็นประโยชน์

เดี๋ยวนี้แฟลชไดรฟ์มีราคาถูกอย่างน่าใจหาย เมื่อ 3 ปีก่อน เราเคยซื้อแฟลชไดรฟ์ 128 MB ในราคา 1,200 บาท เวลานี้ ขนาด 1 GB มีราคาเพียง 190 บาทเท่านั้น เมื่อแฟลชไดรฟ์กลายเป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถหาซื้อและพกพากันได้ทั่วไป เราจะประยุกต์ใช้ความสามารถจากแฟลชไดรฟ์มาช่วยป้องกันตัวจากโปรแกรมมัลแวร์ สปายแวร์ และไวรัส ตามร้านอินเทอร์เน็ตกันดีกว่า

เริ่มจากดาวน์โหลดโปรแกรมที่ชื่อ Avast ไวรัส คลีนเนอร์ ได้ที่ www.avast.com/eng/down_cleaner.html ความสามารถของโปรแกรมตัวนี้ก็คือ ทำงานได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องติดตั้งลงตัวเครื่อง สามารถตรวจจับไวรัสเวิรม์และมัลแวร์ในเครื่องที่เราใช้งานได้ วิธีการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่คลิกสตาร์ต โปรแกรมก็จะเริ่มสแกนเครื่องให้เราทั้งเครื่องทันที โดยใช้เวลาไม่นานนัก ขึ้นอยู่กับขนาดไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ด้วย

ที่เราใช้โปรแกรมตัวนี้ก็คือ ช่วยสแกนหาไฟล์ไวรัสและโปรแกรมที่จะเป็นอันตรายต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ต แล้วถ้าฆ่าไม่ได้ก็ไม่ต้องสนใจครับ ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องของร้าน แต่เวลาเรากลับบ้านต้องเอาแฟลชไดรฟ์มาสแกนไวรัสอีกที

โปรแกรมต่อมาก็คือ โปรแกรม cpe17 ผลงานของนักศึกษาลาดกระบัง ซึ่งช่วยในการกำจัดไวรัสพวกออโตรันได้เป็นอย่างดี หากเครื่องคุณมีอาการดับเบิลคลิกเปิดแฟลชไดรฟ์ หรือไดรฟ์ใดไดรฟ์หนึ่งไม่ได้ ต้องคลิกขวาเลือกโอเพนเท่านั้น หรือปรากฏไฟล์สคริปต์ประหลาดโผล่อยู่ทั่วเครื่อง โปรแกรมตัวนี้ช่วยคุณได้แน่นอน สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.thaiware.com/main/info.php?id=9307

2 โปรแกรมนี้ควรมีติดแฟลชไดรฟ์เอาไว้ครับ แถมให้อีกตัวก็คือ โปรแกรมแอนตีสปายแวร์ที่สามารถกำจัดสคริปต์ โหลดออปเจกต์ประหลาดในเครื่องของเราได้ แต่ต้องติดตั้งลงเครื่องเท่านั้นนะครับ ไม่สามารถรันได้ด้วยตัวเอง โหลดได้ที่ www.antispyware.com/download.php เผื่อบางร้านเขาไม่ได้ล็อกรหัสป้องกันการลงโปรแกรมเอาไว้

เปลี่ยนการบันทึกในเบราเซอร์

ร้านอินเทอร์เน็ตบางร้านจะตั้งค่าเบราเซอร์ให้จดจำรหัสผ่านเอาไว้ เราสามารถเข้าไปแก้ไขได้ที่ Tools>Internet Options>เลือก Tab-Contents ไปที่ Auto complete> จากนั้นให้ติ๊กช่อง Username and password on forms และช่อง Prompt me to save password ออก เท่านี้เครื่องก็จะไม่จำล็อกอินและพาสเวิรด์ของเราแล้ว เว้นแต่ว่าเครื่องนั้นจะลงโปรแกรมพวกคีย์ล็อกเกอร์ ซึ่งเราไม่สามารถตรวจจับได้ นอกจากลงโปรแกรมแอนตีสปายแวร์ ซึ่งทางร้านก็มักจะล็อกการลงโปรแกรมเอาไว้เพื่อป้องกันตัวของเขาเองอีกส่วนหนึ่ง เวลาใช้งานจึงต้องระวังข้อความที่เป็นส่วนตัวนิดนึงครับ

สิ่งที่ไม่ควรกรอกในร้านอินเทอร์เน็ต

หากเราไม่สามารถป้องกันโปรแกรมสปายแวร์ ควรจำไว้ว่าสิ่งต่อไปนี้อย่าพิมพ์ในร้านอินเทอร์เน็ตเป็นอันขาด

1.ล็อกอินและพาสเวิรด์อีเมล เราควรมีอีเมลปลอมสักหนึ่งเมลที่ไม่สำคัญต่อการใช้งาน เอาไว้ใช้ในร้านอินเทอร์เน็ต หรืองานบางอย่างที่เปิดเผยได้โดยไม่ซีเรียสมาก ใช้เมลปลอมในร้านเน็ต ถ้าไม่มีให้สมัครใหม่ทันที

2.อย่าเข้าใช้งานเว็บไซต์ด้านการเงินในร้านอินเทอร์เน็ต เว็บพวกเพย์พาล หรือเว็บไซต์ธนาคารไม่ควรใช้เด็ดขาด แต่ล็อกอินสมาชิกเว็บคอมมูนิตีต่างๆ ใช้งานได้ตามปกติ เพราะเว็บเหล่านี้ถึงร้านจะเอาไปใช้ก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรกับเรา ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนพาสเวิร์ดได้ในเครื่องคอมพ์ที่บ้าน

3.โปรแกรมแชต ไม่ควรใช้โปรแกรมแชตเพราะเป็นโปรแกรมที่เป็นช่องทางในการส่งไวรัสและโทรจันชั้นยอดอย่างหนึ่ง แม้เราจะใช้อีเมลปลอมในการใช้งานคุยกับเพื่อน แต่เพื่อนเราจะซวยที่โดนไวรัสทางโปรแกรมแชตไม่รู้ตัว ถ้ารักเพื่อนก็อดใจไว้นิดนึง โทร.คุยหรือกลับไปล็อกอินที่บ้านก็ไม่ขาดจากความเป็นเพื่อนหรอกครับ

ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำสั้นๆ ในการเข้าใช้งานร้านอินเทอร์เน็ต เดี๋ยวคราวหน้าเรามาดูกันว่าร้านเน็ตหน้าตาแบบไหนที่ไว้ใจได้หรือไม่ได้ นั่งตรงไหนปลอดภัยมากที่สุด และวิธีการแก้เผ็ดร้านที่เราจับได้ว่าลงโปรแกรมสปายแวร์เอาไว้

ขอบคุณข้อมูล : http://guru.sanook.com/pedia/topic

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

สุดยอดพ่อที่ดีที่สุดในโลก....ซึ้งมากๆ

กรุณาอ่านตรงนี้ก่อนดูคลิป

True Story ...
เรื่องจริง ...

A son says to his father: 'Dad, would you be willingly to run a marathon with me?'
วันนึงลูกชายได้พูดกับพ่อของเขาว่า 'พ่อครับ พ่อจะไปวิ่งมาราธอนกับผมได้ไหม'

The father, despite his age and a heart disease, says 'YES'.
ถึงแม้ว่าตัวคุณพ่อเองจะอายุมากแล้ว แถมยังเป็นโรคหัวใจ เขาเลือกที่จะตอบลูกของเขากลับไปว่า 'ได้ซิลูก'

And they run that marathon, together.
หลังจากนั้นทั้งสองก็วิ่งมาราธอนด้วยกัน

The son asks: 'Dad, can you run another marathon with me?' Again father says 'YES'.
อีกวันนึง ลูกชายได้ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า 'พ่อครับ พ่อจะวิ่งมาราธอนกับผมอีกครั้งได้ไหม' แน่นอนว่า พ่อตอบกลับไปว่า 'ได้ซิลูก'

They run another marathon, together.
เขาทั้งสองก็ได้วิ่งมาราธอนรายการอื่นอีกครั้งด้วยกัน

One day the son asks his father: 'Dad, would please do the Iron Man with me?'
และอีกวันนึง ลูกชายก็ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า 'พ่อครับพ่อจะลงแข่ง Iron Man กับผมได้ไหม'

Now just in case you wouldn't know, 'The Iron Man' is the toughest triatlon in existance; 4km swimming, then 180 km by bike, and finaly another 42 km running, in one stroke.
(สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า Iron Man คืออะไร มันก็คือไตรกีฬานั่นเองในภาษาไทย รายการนี้จะรวมมนุษย์เหล็กจากทั่วโลกมาแข่งขันกันโดยแบ่งออกเป็น ว่ายน้ำ 4 กิโล ปั่นจักรยาน 180 กิโล และ วิ่ง 42 กิโล โดยไม่มีการหยุดพัก ใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ)

Again father says 'YES'
และก็อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ตอบปฏิเสธ 'ได้ซิลูก'

Maybe this doesn't 'touch' you yet by heart ... until you see this movie (put on sound!):
บางทีบทสนทนานี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ และยังไม่เกิดความประทับใจกับมัน...จนกระทั่งคุณได้ดูคลิปต่อไปนี้



ที่มา : http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3234627.msg16256459#msg16256459

Red Rose

คุณคือคนพิเศษของเรา.. ดอกไม้ที่เหมาะสมกับคุณคือกุหลาบสีแดง เพื่อแสดงว่า.. เรารักคุณค่ะ

ในตำนานกรีก เทพอไฟไดร์เทพเจ้าแห่งความรักเป็นผู้สร้างกุหลาบสีขาวขึ้นมาเป็นราชินีแห่งดอกไม้ มีนกไนติงเกลตัวหนึ่งแอบหลงรักดอกกุหลาบสีขาว ด้วยความรักและโหยหาเธอบินลงมาโอบกอดดอกกุหลาบ แต่กลับถูกหนามแหลมของกุหลาบแทงจนตาย

หยดเลือดของนกไนติงเกลตัวนั้นหยดอาบดอกกุหลาบสีขาว จนมีสีแดงสด และเกิดเป็นกุหลาบสีแดงตั้งแต่นั้นมา.. T_T

กุหลาบแดงยังคงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากทีสุดในการบอกว่า"ผมรักคุณ" ให้กับคนพิเศษ พวกเธอเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนสำหรับความรู้สึกโรแมนติกแทนรักแท้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อหนามแหลมที่เป็นอุปสรรค


วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?



ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่า ฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆ พากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียว เรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน

ความเชื่อที่ว่าจิ้งหรีดหรือกบร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกัน ข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ ทำให้พวกมันต้องออกมาข้างนอก และทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์ เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้อง ความจริงเป็นการส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว แต่เราสามารถได้ยินด้วยก็เท่านั้นเอง นอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ

สรุปแล้วเป็นเรื่องของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม

ที่มา : http://campus.sanook.com/ทำไมกบ-จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก-926155.html

วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด เหตุฮิตคอนแทคเลนส์


เอากันใหญ่แล้ว!!! สำหรับวัยรุ่นไทย กับการนิยมชมชอบแฟชั่นต่างๆ นานา ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี โดยเฉพาะที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ อย่างเทรนด์ "ตาเล็ก" "ตาชั้นเดียว" หรือแม้กระทั้ง "ดวงตาสีสรรต่างๆ" ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดให้สิ้นเปลือง เพราะเค้าใช้!!! "คอนแทคเลนส์"

ถึงแม้ที่ผ่านมา จะมีข่าวคราวกรณีที่มีทั้งเด็กตาอักเสบ ตาบวม บางรายจนถึงขั้นตาบอดไปเลย เหตุเพราะใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี แต่นั่น!! ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของแฟชั่นเสริมสวยดวงตาลดลงแต่อย่างไร กลับยิ่งทวีความนิยมสูงขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกแสนถูก มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่าย จากเดิมที่มีขายแต่ร้านแว่นตา หรือจำเป็นต้องแพทย์สั่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น ตลาดนัด รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้วัยรุ่นไทยกำลังเสี่ยงกับการอันตรายถึงขั้นตาบอดได้...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โดยปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ส่วนในรายที่เกิดอาการ อาจเป็นเพราะผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการรักษาความสะอาด และอาจสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลานอนดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัสทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นทำให้ตาบอด...

หากยังคงให้ตัวอันตราย อย่าง "คอนแทคเลนส์" หาซื้อได้ง่ายเช่นนี้ เหล่าวัยรุ่นไทยกว่าครึ่งต้องเสี่ยงตาบอดกันเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens ) หรือเลนส์สัมผัส โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อและต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย

ส่วนในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้ละเอียด ยกเว้นคอนแทคเลนส์ ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจนว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่และถอดทุกวัน รวมถึงข้อความว่า โปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่า การใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ

ที่สำคัญคือ ข้างบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องพิมพ์คำแนะนำ คำเตือน ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้เลนส์ไว้ว่า การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ โดยให้แสดงข้อความการห้ามใช้ดังนี้คือ 1. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด 2. ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น 3. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน และกำหนดให้พิมพ์ข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ดังนี้ คือ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น เป็นต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง หรือกระพริบตาไม่เต็มที่ และให้ใช้น้ำยาล้างเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่แช่เลนส์ ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุก 3 เดือน ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ขณะว่ายน้ำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้ โดยผู้ใช้ต้องล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสเลนส์ และหากมีอาการผิดปกติเช่น เจ็บหรือปวดตาอย่างมากร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัว น้ำตาไหลมาก หรือตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันทีและรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

แต่ถึงแม้จะมีฉลากอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอามาใส่แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา หากผู้ที่สวมใส่ไม่ใส่ใจในการรักษาความสะอาด และยังคงใส่ผิดวิธี อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น ควรสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย

ที่สำคัญที่ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ

ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน

หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

เพียงเท่านี้คุณก็จะปลอดภัยจากการอันตรายที่อาจเกิดจากคอนแทคเลนส์ได้แล้ว หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ใส่เลยน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะการสวยแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึงอะไร น่าจะปลอดภัยกว่า 100 % นะค่ะ

ที่มา : http://campus.sanook.com/วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด-เหตุฮิตคอนแทคเลนส์-926422.html

มารู้จัก บิ๊กบอสแห่ง Facebook อายุ 20ปี

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเจ้าของ Facebook.com เศรษฐีที่เด็กที่รวยเร็วที่สุดในโลก

ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่มด้วยอายุเพียง ๒๐ ปี เท่านั้นเขาสร้างเนื้อสร้างตัวรวยเร็วที่สุด เท่าที่นิตยสาร Forbes เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง !! ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็น มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้ง ของตนเอง โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๖ ปี เท่านั้นเอง !! หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้ คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก !! ผู้สร้าง Facebook.com ให้โลกได้รู้จัก และเป็นเครือข่าย สังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้

มารู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สักเล็กน้อย


มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) มีเชื้อสายยิว – อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ (ปัจจุบันอายุ๒๖ ปี) (คนเก่งระดับโลก เช่น ไอน์สไตน์, ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมี เชื้อสายยิว – ผู้เขียน) เติบโตในย่าน Dobbs Ferry นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลาย ที่ Phillips Exeter Academy ในปี ๒๕๔๕


สมัยเรียนไฮสกูล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ชั้น ป. ๖ เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไป กลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้


โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย


ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ

แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือนสถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น

Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ และเข้าถึงทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไปต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น

ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ สำนักงาน Facebookแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจากนั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Altoจำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า “urban campus” หรืออาณาจักรวิทยาลัย

จดหมายเปิดผนึกจาก Mark Zuckerberg เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่น่าสนใจ เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต


ลักษณะการทำงานของ Facebook

Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง “ฮาร์วาร์ด”


เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัยโดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและ


รูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลกเข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน


ลักษณะการทำงานของ Facebook

มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์ เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้นความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียนและมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้

นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ “เด็กดี” ขณะที่ My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน


ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัท ออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่า สูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้าน ดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า

จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกต ว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน

ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุกวันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิมเขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรดยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งFacebook ใหม่ ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียว กับเก้าอี้สองตัว

www.bbberry.net

ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน !!!

ขอคุณที่มา : http://www.bbberry.net/webboard/viewthread.php?tid=1128

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

หลวงพี่แตงโม ตอน เทวดา

ขอบคุณที่มา : http://hilight.kapook.com/view/51901

เด็กตาบอด กับ คนเขียนป้าย

เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ
มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่า “ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย”
มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิมเพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย

ในไม่ช้า...หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
“คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ”
“คุณเขียนว่าอะไรครับ”

ชายคนนั้นพูดว่า “ฉันแค่เขียนความจริง ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง”

ฉันเขียนว่า “วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้”

ทั้งสองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า

ข้อสอนใจจากเรื่องนี้

จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์ ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก

ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้ จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้ เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป

สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น


ที่มา : http://webboard.sanook.com/forum/3185724

ทำไมใบไม้เปลี่ยนสี?

เมื่อลมหนาวมาเยือน หลายๆ คน คงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบๆ ตัว โดยเฉพาะ ต้นไม้ที่เจริญในเขตอบอุ่น ส่วนที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนคือ ส่วนของใบ โดยใบไม้ที่มี สีเขียว จะมีการเปลี่ยนสีที่แตกต่างกันไป บ้างก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน สีส้ม สีแดง และสีน้ำตาล เมื่อเวลา ผ่านไปสักระยะหนึ่งใบไม้ที่มีการเปลี่ยนสีต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะกลายเป็นเป็นใบไม้แห้งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดิน กลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศต่อไป

สีเขียวของใบไม้เกิดขึ้นเนื่องมาจากสารสีคลอโรฟิลล์ พบอยู่ในคลอโรพลาสต์ (chloroplast) ซึ่งมี โครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายถุงแบนๆ มีเยื่อหุ้ม เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylacoid) และบนไทลาคอยด์นี้เองที่มี คลอโรฟิลล์ที่ทำหน้าที่ในการรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการสร้างอาหาร ของ พืชด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ซึ่งกระบวนการสร้างอาหารของพืชจะเกิดขึ้น บริเวณส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช เช่น ใบ

ทำไมใบไม้เปลี่ยนสี ????

ในเซลล์พืชนอกจากสารสีคลอโรฟิลล์ที่ทำให้พืชมีสีเขียวแล้ว ยังมีสารสีแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งเป็น สารประกอบประเภทไขมัน มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ในพืชชั้นสูงสารสีแคโรทีนอยด์ อยู่ในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วย สารสี 2 ชนิด แคโรทีน (carotene) เป็นสารสีแดงหรือสีส้ม หากมีสารสีคลอโรฟิลล์และสารสี แคโรทีน อยู่ในใบเดียวกัน จะสะท้อนแสงสีแดง เขียวแกมน้ำเงินและแสงสีน้ำเงิน ทำให้ใบมีสีเขียว แซนโทฟิลล์ (xantrophyll) เป็นสารสีเหลืองหรือสีน้ำตาล

ในเซลล์พืชโดยปกติมีสารสีทั้ง 3 ชนิด แต่ถ้ามีสารสีชนิดใดมากกว่า พืชชนิดนั้นก็จะปรากฏให้เห็นสี ของสารสีชนิดนั้น ๆ เช่น ใบของต้นมะม่วงสีเขียว เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์อยู่มาก

พืชต้องการแสงและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการผลิตคลอโรฟิลล์ เพื่อใช้ในการสร้างอาหารโดยการ สังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งปกติพืชจะมีการสร้างคลอโรฟิลล์อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ใบไม้มีสีเขียว แต่ใบไม้เหล่านี้ ก็จะมีการเปลี่ยนสีได้ เมื่อมีการเปลี่ยนสีได้ เมือมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เพราะการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของช่วงความยาว ของวัน กล่าวคือ ในช่วงฤดูหนาวจะมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าในช่วงฤดูร้อน และมีช่วงเวลากลางคืนที่นานกว่า ฤดูร้อน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อปริมาณแสงที่พืชได้รับ คือ ในช่วง ฤดูหนาวพืชได้รับแสงในปริมารน้อยลง และอุณหภูมิก็มีค่าต่ำลง พืชจึงมีการตอบสนอง โดยการสร้างคลอโรฟิลล์ ในปริมาณที่น้อยลง และในขณะเดียวกันคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่เดิมก็จะสลายตัวอยู่ตัวตลอดเวลา ใบไม้ที่มีสีเขียว จึง เริ่มมีการเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองหรือส้ม แดง จนในที่สุดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงลงสู้พื้นดิน (เข้าสู่กระบวนการร่วงของใบ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ ปี 2545 เรื่อง ต้นไม้สลัดใบ)

ถ้าพืชไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียว สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้หรือไม่ ?

คลอโรฟิลล์ไม่เพียงทำให้พืชมีสีเขียวเท่านั้น โดยคลอโรฟิลล์ เอ ให้สีเขียวเข้ม คลอโรฟิลล์ บี ให้สี เขียวอ่อน คลอโรฟิลล์ ซี ให้สีส้ม คลอโรฟิลล์ ดี ให้สีน้ำตาล ดังนั้นพืชที่ไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียวก็ไม่ได้หมายถึง ไม่มีคลอโรฟิลล์ แต่อย่างไรก็ตามพืชที่จะสามารถสังเคราะหืด้วยแสงได้จะต้องมีสารสีคลอโรฟิลล์เอ ที่เป็น สารสีหลักที่จะถ่ายทอดอิเล็กตรอนในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ... ดังนั้นแม้พืชทีไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียว จึงมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นได้

ที่มา : http://campus.sanook.com/ทำไมใบไม้เปลี่ยนสี-926371.html

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

กินอย่างไรให้อารมณ์ดี


ร่างกายมีผลต่ออารมณ์มาจาก 2 แหล่งของผลสะท้อนความรู้สึกคือ อาหารและสารเคมีในสมอง และปัจจัยที่ควบคุมได้ง่ายคือ อาหาร ซึ่งทางรายการขอนำเสนอ 12 วิธีการกินที่ทำให้อารมณ์ดี ดังนี้

กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังกินอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิด เพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

เลือกกินเฉพาะแป้งที่ไม่หวาน เพราะขนมปังและข้าวทุกชนิด คือแหล่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้เกิดความสงบ งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินขนมปังเพื่อต่อต้านอาการซึมเศร้า

ปรับเปลี่ยนเพื่ออารมณ์ดี การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียง เล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ควรกินอาหารให้ครบมื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลากินอาหารเป็นมื้อ แบบกิจจะลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

กินปลาแซลมอนและแมคคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 ซึ่งยืนยันด้วยผลวิจัยว่าส่งผลต่ออารมณ์ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสารสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

ปรุงอาหารด้วยน้ำมันคาโนลาออยล์ (Canola Oil) จากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมแทนน้ำมันพืชทั่วไป เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ แต่ควรกินได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยใช้ทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพ

กินผักโขม ถั่วสด และถั่ว Chickpeas ที่มีแต่โปรตีนไขมันต่ำอยู่สูง ในผักใบสีเขียวเข้มมีโฟเลตสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นการกินถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย การลองผสมถั่ว หรือเพิ่มผักใบเขียวลงในทูน่าสลัด

กินพริกรสเผ็ด ในพริกมี ‘สารแคปไซซิน' ส่งสัญญาณหลอกให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เอนโดรฟิน แต่ควรระวังหากกินมากเกินไปอาจทำท้องไส้ปั่นป่วน

กินปวยเล้ง ผักอารมณ์ดีที่อุดมด้วย ‘กรดโฟลิก' (Folic acid) ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยให้เซลล์ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ การขาดนำไปสู่การลดการหลั่งของฮอร์โมนเซโรโทนิน โดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การกินปวยเล้งสม่ำเสมอยังทำให้หลับง่าย หลับสนิทดีด้วย

กินกล้วยหอม กระตุ้นการสร้างสาร ‘ซีโรโทนิน' และอุดมไปด้วย ‘ทริปโทโฟน' ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด และไม่อ้วน

กินถั่วเหลือง ที่อุดมด้วยสารซีโรโทนิน เพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และ‘โดไทโรซิน' เพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

กินเชอร์รี่เป็นของหวาน แพทย์ตะวันตกเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น ‘แอสไพรินธรรมชาติ'เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่ชื่อว่าแอนโธไซยานิน Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้เชอร์รี่มีสีสันสวยสดใส และสรรพคุณสำคัญ คือ ทำให้คนกินมีความสุข งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าการกินเชอร์รี่ 20 ผล ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการกินยา

กินและปรุงอาหารด้วยกระเทียม ที่อุดมด้วยสารเซเลเนียม (Selenium) สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น นักวิจัยเยอรมันแนะว่า การกินกระเทียมวันละ 2 กลีบน่าจะเหมาะสม นอกจากนี้กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือดและรักษาโรคความดันโลหิตสูง

12 วิธีที่กล่าวมาแล้วนั้นอาจจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ปฏิบัติง่ายกว่าการกินคือการควบคุมจิตใจ ไม่ให้โกรธ วิตกกังวลหรือคิดไม่ดี ทำจิตใจให้สบาย ผ่อนคลายและมีสมาธิ มองโลกในแง่ดี เพียงเท่านี้ก็อารมณ์ดีแล้วล่ะครับ

ที่มา : http://campus.sanook.com/กินอย่างไรให้อารมณ์ดี-926084.html

หูฉลาม...คุณค่ายิ่งใหญ่เท่าไข่ฟองเดียว


หูฉลามเป็นอาหารขึ้นโต๊ะที่ราคาแพงมาก เหตุผลก็เพราะหายาก มีรสชาติดี จึงถือเป็นอาหารชั้นเลิศของชาวจีนแต่ครั้งโบราณกาล ในเรื่องความอร่อยและความหายากนั้นคงไม่ขัดใจกัน ถ้าหากพูดคุยกันรู้เรื่องกับนักอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่ในแง่คุณค่าทางอาหารว่ามีสรรพคุณล้นหลามตามคำเชิญชวนนั้น น่าจะลองคำนวณดูว่ามีคุณค่าสมราคาหรือไม่

แท้จริงแล้วหูฉลามมาจากส่วนครีบของปลาฉลาม ซึ่งมีลักษณะเป็นกระดูกอ่อนที่แบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือฐานครีบและก้านครีบ ซึ่งเป็นกระดูกที่มีลักษณะเป็นเส้นๆ เพื่อช่วยให้ฉลามสามารถแผ่ครีบออกได้ ส่วนที่เรียกว่าก้านครีบนี่แหละครับที่กลายเป็นหูฉลามชามโปรด

มีความเชื่อกันว่าหูฉลามที่นำมาต้มจนเปื่อยและตุ๋นจนได้ที่จะกลายเป็นอาหารวิเศษในการบำรุงร่างกาย แต่ข้อสังเกตในทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ครีบฉลามที่นำมารับประทานนี้ ได้ผ่านกระบวนการหลายอย่าง ตั้งแต่การแตกแห้ง ต้มจนเปื่อย และขูดหนังทิ้งจนเหลือแต่กระดูกอ่อน เหลือแคมเซียมอยู่ก็ไม่กี่มากน้อย

สิริรวมในเรื่องคุณค่าด้านอาหารแล้ว หูฉลามหนึ่งชามมีค่าเสมอด้วยไข่เป็ดฟองเดียวเท่านั้นเอง

การเลือกซื้ออาหารเพื่อคุณค่าสูงสุด จึงไม่ได้หมายถึงอาหารราคาแพงเท่านั้น ถ้ามีความรู้และรู้เท่าทันด้วย การใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มักจะได้ทั้งของถูกและของดีพร้อมกันในคราวเดียว

ที่มา : http://campus.sanook.com/หูฉลาม...คุณค่ายิ่งใหญ่เท่าไข่ฟองเดียว1-926400.html

ตอน เล่นอะไรครับ คุณตำรวจ

เอาไงดีเทวทูต

ชายสามคนยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์ เทวทูตบอกพวกเขาว่าที่ว่างในสวรรค์เหลือเพียงอีกหนึ่งที่ ดังนั้นจะพิจารณาให้คนที่ตายอย่างน่าอนาถที่สุดได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ดังนั้นชายคนแรกจึงเริ่มเล่า
"ผมได้ข่าวลือมาว่าเมียผมมีชู้ ผมก็เลยแอบกลับบ้านไปดูในตอนกลางวัน เมื่อไปถึงบ้านผมก็พบเมียผมแก้ผ้านอนอยู่บนเตียง ผมค้นห้องนอนดูจนทั่วจึงพบว่ามีไอ้หนุ่มคนหนึ่งเกาะอยู่ตรงหน้าต่างใส่แต่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ผมโกรธมากจึงทุบมือของเขาจนร่วงหล่นลงไป แต่เขาโชคดี เพราะถึงแม้ว่าบ้านผมอยู่บนคอนโดชั้น ๒๕ แต่เขาดันตกลงบนพุ่มไม้และไม่เป็นอะไร ผมเห็นอย่างนั้นเลยไปยกตู้เย็นมาทุ่มใส่เขา ผมไม่ทันได้เห็นว่าเขาตายรึเปล่าด้วยซ้ำเพราะโรคหัวใจของผมมันกำเริบขึ้นมาพอดี แล้วก็มาอยู่ที่นี่แหละ"
"นั่นเป็นการตายที่น่าเศร้ามากนะ" เทวทูตแสดงความเห็นใจ "แต่ลองมาฟังคนอื่นดูบ้าง"
ชายคนที่สองจึงเริ่มเล่า
"ผมกำลังออกกำลังกายอยู่ที่ระเบียงบ้าน โชคร้ายจริงๆที่ผมลื่นตกลงมา บ้านผมอยู่บนคอนโดชั้นที่ ๒๖ ถ้าผมหล่นลงไปผมตายแน่ แต่โชคยังดีที่ผมคว้าหน้าต่างห้องข้างใต้ได้ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะปีนกลับขึ้นมา ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้โผล่มา ทุบมือผมจนผมร่วงตกลงไปอีก ผมร่วงตกลงมาบนพุ่มไม้ก็เลยไม่ตายแต่จุกจนลุกไม่ขึ้น เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นตู้เย็นหล่นลงมาใส่ผม ผมก็เลยได้มาอยู่ที่นี่"
"คุณนี่น่าเห็นใจจริงๆนะ แต่ผมขอฟังพ่อหนุ่มคนสุดท้ายนี่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ"
ชายคนสุดท้ายเริ่มเล่า
"ผมเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน วันหนึ่งขณะที่เรากำลังมีความสุขกัน สามีเธอดันกลับมาที่บ้าน ผมก็เลยเข้าไปซ่อนในตู้เย็น..."

ที่มา : http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=2154

ขำขำ Fuck You, my dear Office Boss!

จาน ทำไมมักเป็นทรงกลม


ทำไมจานหรือภาชนะใส่อาหารมักมีทรงกลม.....บางทีถ้าเราลองล้างจานเอง อาจได้คำตอบในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเวลาล้างกล่องอาหารที่ทำด้วยพลาสติกทรงสี่เหลี่ยม จะพบว่ามันช่างทำความสะอาดยากเย็นเสียจริง เพราะฟองน้ำล้างจานเข้าไม่ถึงหลืบมุมต่างๆผิดกับภาชนะทรงกลมที่ขัดถูได้สะดวกมือกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อค้นข้อมูลเรื่องภาชนะก็ได้คำอธิบายที่น่าสนใจว่า ภาชนะดินเผามีต้นกำเนิดนับเนื่องจากการจักสานภาชนะจำพวกตะกร้าซึ่งมักมีรูปร่างเป็นทรงกลมเพราะสานได้ง่าย มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์โดยเฉพาะผู้หญิง ได้เคลือบผิวภายนอกของตะกร้าด้วยโคลนเพื่อเสริมความแข็งแรง และก็ด้วยความบังเอิญในวันหนึ่งตะกร้าถูกไฟเผาจนมอดเหลือเพียงดินเหนียวทรงกลมที่สุกแล้วด้วยความร้อน ภาชนะดินเผาเก่าแก่เท่าที่มีบันทึกไว้ นับอายุได้ถึง 15,000-10,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีดังกล่าว พบในถ้ำแห่งหนึ่งในถ้ำแกมเบิลส์ ประเทศเคนยา

ยังมีการขึ้นรูปภาชนะดินเหนียวด้วยวิธีขึ้นรูปให้สูงไปทีละชั้น ด้วยวิธีนี้จึงทำให้เกิดเป็นทรงกลมซึ่งเป็นวิธีทำโครงสร้างที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด การหล่อพิมพ์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง เพื่อผลิตชิ้นงานภาชนะดินเผาให้มีรูปทรงที่แปลกแตกต่างออกไป จากทรงกลมธรรมดา แต่กรรมวิธีนี้ก็มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการผลิตด้วยเทคนิคอื่นๆ การหล่อพิมพ์นี้เริ่มแรกใช้ในสมัยปาเลสไตน์โบราณ แต่กว่าเทคนิคนี้จะแพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรปก็ล่วงเลยมาจนถึง ค.ศ. 1730 บางวัฒนธรรมในโลกนี้ เลือกที่จะผลิตจานจากไม้ธรรมชาติ ไม่ว่าจะโดยท่อนไม้รูปทรงใดก็ตามที ในบางครั้งพวกเขาก็ผลิตจานทรงเหลี่ยมออกมา โดยไม่ตั้งใจเนื่องจากท่อนไม้ที่หามาได้นั้นมีทรงหน้าตัดเป็นเหลี่ยมมุม

ครั้นล่วงมาจนถึงสมัยเมโสโปเตเมียคือราว 5,000 ปีก่อนคริสตกาล ก็ได้มีการคิดค้นแป้นหมุนเพื่อใช้ปั้นภาชนะดินเผาที่มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม นวัตกรรมนี้เป็นที่ยอมรับแพร่หลายระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมต่าง ๆ ในยุคนั้นโดยต่อเนื่อง จดหมายของนักค้นคว้าชาวอังกฤษฉบับดังกล่าวสรุปสั้น ๆ อย่างชัดเจนว่า "นับแต่ ๕,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลมาแล้วที่จานดินเผาล้วนมีรูปทรงกลมเพราะส่วนใหญ่ผลิตบนแป้นหมุนดังกล่าว"

จานกลมแบนมีข้อได้เปรียบที่มีความคงทนรองรับการใช้งานได้นานกว่า ต่างจากจานขอบเหลี่ยมซึ่งมักบิ่นแตกได้ง่ายโดยเฉพาะตรงบริเวณมุม ในมุมมองของผู้ผลิตแล้วภาชนะรูปทรงกลมแบนก็ยังคงความพิเศษเหนือกว่าภาชนะรูปทรงอื่น โรงงานนอริตาเกที่มีชื่อเสียง ยืนยันว่าตนสามารถผลิตภาชนะรูปทรงใด ๆ ก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่ชิ้นงานแปลก ๆ เช่นรูปไข่ต้องอาศัยเทคนิคการขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ซึ่งมีต้นทุนสูง อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเวลา และกำลังในการผลิตมากกว่าปรกติ กระนั้นโรงงานเครื่องถ้วยดินเผาก็ยังพยายามผลิตภาชนะทรงแปลก ๆ ออกสู่ตลาดอยู่เสมอ เช่น จานทรงปลาเพื่อใช้กับอาหารปลา ภาชนะทรงรีสำหรับอาหารประเภทสเต๊ก หรือแม้แต่จานทรงแปดเหลี่ยมเพื่อความสวยงามในเชิงศิลปะเท่านั้น

ขอบคุณที่มา : http://campus.sanook.com

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง


การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรม แต่อยู่ที่การฝึกฝน ขัดเกลา สมอง และหัวใจของคุณ...แล้วความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณก็จะเกิดขึ้นได้ วันนี้เรามี 7 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกันค่ะ

1.คิดในทางบวก

มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ

2.มีศรัทธาในตัวเอง

อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

3.ขอท้าคว้าฝัน

ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัว ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

4.ค้นหาบุคคลต้นแบบ

ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตามแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จ

5.เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส

คนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้างให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วยการเจรจาติดต่องาน ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สร้างความเบิกบาน และคลายทุกข์ เป็นยาอายุวัฒนะ

6.เรียนรู้จากความผิดพลาด

สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง แล้วหันมาทบทวน ดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป...เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

7.ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่า ๆ

ควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน ....บ้าง

ที่มา : http://campus.sanook.com/7-วิธีคิดอย่างคนเก่ง-925487.html